การปฏิสนธิ
เนื่องจากเซลล์ไข่ของคนมีเยื่อหุ้มเซลล์ไข่และสารเคลือบเซลล์ไข่ที่ฟอลลิเคิล เซลล์สร้างขึ้นมาเพื่อห่อหุ้มป้องกันอันตรายให้กับเซลล์ไข่ แต่อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้จะถูกย่อยได้โดยเอนไซม์จากตัวอสุจิในขณะที่ตัวอสุจิเจาะผิวเยื่อหุ้มไข่ซึ่งอยู่ในระยะโอโอไซต์ระยะที่สองนั้นจะทำให้เซลล์ไข่เริ่มแบ่งแบบไมโอซิสครั้งที่สอง ทำให้ได้เซลล์ไข่ และโพลาร์บอดี อย่างละ 1 เซลล์ ต่อจากนั้นนิวเคลียสของตัวอสุจิจะปฏิสนธิกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่ ในภาวะปกติอสุจิเพียง 1 เซลล์เท่านั้น สามารถเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่เนื่องจากเซลล์ไข่มีกลไกที่สามารถสร้างสารเคมีขึ้นมาป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิอื่นเข้าไปผสมได้อีก ในทันทีที่อสุจิตัวแรกเข้าสัมผัสกับเยื่อหุ้มไข่เซลล์ไข่ เมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้วสารเคลือบเซลล์ไข่ก็ยังคงหุ้มเซลล์ไข่อยู่และจะแตกออกเมื่อเอ็มบริโอซึ่งเจริญมาจากไข่ที่ถูกปฏิสนธินี้เข้าฝังตัวกับผนังมดลูก การฝังตัวของเอ็มบริโอจะเริ่มขึ้นเมื่อมีอายุได้
1 สัปดาห์หลังจากปฏิสนธิ
ดังนั้นการปฏิสนธิจึงเป็นกระบวนการที่
1. มีการรวมตัวกันของอสุจิและไข่
2. เป็นการรวมโครโมโซมชนิดแฮพลอยด์ที่มีอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต 2 ตัว ให้กลายเป็นเซลล์ชนิดดิพลอยด์เซลล์เดียว คือ ไซโกต
3. การปฏิสนธิยังช่วยกระตุ้นไข่ ในขณะที่อสุจิไปสัมผัสที่ผิวไข่ ทำให้เกิดกระบวนการเมแทบอลิซึมในไข่ที่ทำให้เกิดการพัฒนาของตัวอ่อนต่อไป
เมื่อมีการปฏิสนธิโดยการที่อสุจิมาสัมผัสกับไข่ เพื่อให้เกิดการรวมตัวของเซลล์สืบพันธุ์ 2 ชนิดนั้น จะมีกลไกการป้องกันมิให้อสุจิตัวอื่นเข้าผสมกับไข่อีก โดยกลไก ดังนี้
1. อสุจิที่มาสัมผัสกับเยื่อหุ้มไข่ จะปล่อยเอนไซม์ออกจากอะโครโซมไปย่อยสลายเยื่อหุ้มไข่ โดยส่วนยื่นของอะโครโซม (Acrosomal process) มีโปรตีน “บินดิน” (Bindin) ซึ่งจำเพาะกับตัวรับจำเพาะบนเยื่อ Virtelline layer ของเยื่อหุ้มไข่ เมื่อส่วนยื่นของอะโครโซมไปสัมผัสกับเยื่อหุ้มไข่ ทำให้เกิดลักษณะ “fertilization cone” คล้ายนิ้วมือเพื่อดึงอสุจิเข้าสู่ไข่ เมื่อเยื่อหุ้มเซลล์อสุจิสลายไป นิวเคลียสของอสุจิเข้าสู่ไซโทพลาซึมของไข่ได้
2. ขณะเดียวกันเยื่อหุ้มเซลล์ของไข่มีการเปลี่ยนแปลง โดยการปล่อย Ca2+ออกมา ในไซโทพลาซึมมากขึ้น ทำให้เวซิเคิลที่อยู่ที่ขอบเซลล์ (Cortical granule) ไปเชื่อมกับเยื่อหุ้มเซลล์และปล่อยแกรนูลจากเวซิเคิลออกมาในช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์กับ Vitelline layer ทำให้ชั้นทั้งสองนี้แยกออกจากกันมากขึ้นและทำให้ Vitelline layer ยกตัวขึ้นกลายเป็น “fertilization membrane” จึงป้องกันมิให้อสุจิตัวอื่นเข้าผสมกับไข่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น